
1.สะพานมอญ
เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยสร้างให้ประชาชนที่อยู่ตัวอำเภอสังขะบุรี กับหมู่บ้านชาวมอญได้ติดต่อกัน
"สะพานไม้อุตตมานุสรณ์"หรือทีเรียกกันว่า "สะพานมอญ”เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศ มีความยาว
ประมาณ ๑ กม. หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ดำเนินการสร้าง โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนไทย กะเหรี่ยงและมอญได สัญจร ไปมาหาสู่กันได้ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ของคนทั้งสามกลุ่ม สะพานมอญเป็นจุดท่องเที่ยวที่เรียกว่า กลายเป็นสัญลักษณ์ของสังขละบุรีไปแล้ว นักท่องเที่ยวจะนิยมมาเดินเยี่ยมชมสะพานเพื่อชมแสงสีทองของ พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า รวมถึงชมวิถีชีวิตของชาวไทยและมอญที่เดินข้ามไปมาหากันบนสะพานแห่งนี้ซึ่งค่อน ข้างจะคึกคักมากในช่วงเช้า
เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยสร้างให้ประชาชนที่อยู่ตัวอำเภอสังขะบุรี กับหมู่บ้านชาวมอญได้ติดต่อกัน
"สะพานไม้อุตตมานุสรณ์"หรือทีเรียกกันว่า "สะพานมอญ”เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศ มีความยาว
ประมาณ ๑ กม. หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ดำเนินการสร้าง โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนไทย กะเหรี่ยงและมอญได สัญจร ไปมาหาสู่กันได้ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ของคนทั้งสามกลุ่ม สะพานมอญเป็นจุดท่องเที่ยวที่เรียกว่า กลายเป็นสัญลักษณ์ของสังขละบุรีไปแล้ว นักท่องเที่ยวจะนิยมมาเดินเยี่ยมชมสะพานเพื่อชมแสงสีทองของ พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า รวมถึงชมวิถีชีวิตของชาวไทยและมอญที่เดินข้ามไปมาหากันบนสะพานแห่งนี้ซึ่งค่อน ข้างจะคึกคักมากในช่วงเช้า
บรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
![]() | ![]() |
![]() | ![]() |
สายหมอกยามเช้าจากสะพานมอญ
![]() | ![]() |
แพริมน้ำที่ให้บริการนักท่องเที่ยว
![]() | ![]() |
บรรยากาศสะพานมอญยามเย็น
![]() | ![]() |
แม่ชีสีขมพูที่สามารถเห็นได้เฉาพช่วงเดือนม.ค. เท่านั้น
![]() | ![]() |
2.เมืองบาดาล
ในอดีตเป็นวัดวังก์วิเวการามเดิมที่หลวงพ่ออุตตมะและชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยง และมอญได้ร่วมกันสร้างขึ้น เมื่อ ปี พ.ศ. 2496 ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสามสาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำ รันตี ไหลมาบรรจบกัน ต่อมาในปี 2527 มีการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลมทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอสังขละบุรี เก่ารวมทั้งวัดนี้ ด้วย หลวงพ่อจึงได้ย้ายมาสร้างวัดมาอยู่บนเนินเขา ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานานนับสิบปี ใน ช่วงฤดูแล้งราวเดือนมีนาคม-เมษายน น้ำจะลดจนตัวโบสถ์โผล่พ้นน้ำทั้งหมด สามารถนั่งเรือชมและขึ้นไป เดิน เที่ยวชมโบสถ์ได้ ท่านสามารถล่องเรือชมบรรยากาศสองริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งจะพบวิถีการดำเนินชีวิตของ ชาวมอญ และสามารถเห็นยอดเจดีย์ พุทธคยาระหว่างการล่องเรือ ในช่วงน้ำมาก น้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงยอด ของโบสถ์เท่านั้นที่โผล่ให้เห็น ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่น่าสนใจ มีเสน่ห์จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand ในชื่อ เมืองบาดาล
การเดินทาง นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือหางยาวไปเยี่ยมชมเมืิองบาดาลไดที่ซองกาเลียรีสอร์ท หรือถ้าหาก นอนแพ
ในอดีตเป็นวัดวังก์วิเวการามเดิมที่หลวงพ่ออุตตมะและชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยง และมอญได้ร่วมกันสร้างขึ้น เมื่อ ปี พ.ศ. 2496 ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสามสาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำ รันตี ไหลมาบรรจบกัน ต่อมาในปี 2527 มีการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลมทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอสังขละบุรี เก่ารวมทั้งวัดนี้ ด้วย หลวงพ่อจึงได้ย้ายมาสร้างวัดมาอยู่บนเนินเขา ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานานนับสิบปี ใน ช่วงฤดูแล้งราวเดือนมีนาคม-เมษายน น้ำจะลดจนตัวโบสถ์โผล่พ้นน้ำทั้งหมด สามารถนั่งเรือชมและขึ้นไป เดิน เที่ยวชมโบสถ์ได้ ท่านสามารถล่องเรือชมบรรยากาศสองริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งจะพบวิถีการดำเนินชีวิตของ ชาวมอญ และสามารถเห็นยอดเจดีย์ พุทธคยาระหว่างการล่องเรือ ในช่วงน้ำมาก น้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงยอด ของโบสถ์เท่านั้นที่โผล่ให้เห็น ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่น่าสนใจ มีเสน่ห์จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand ในชื่อ เมืองบาดาล
การเดินทาง นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือหางยาวไปเยี่ยมชมเมืิองบาดาลไดที่ซองกาเลียรีสอร์ท หรือถ้าหาก นอนแพ
![]() | ![]() |
3.วัดวิเววังการาม (วัดหลวงพ่ออุตตะมะ)
ตั้งอยู่ห่างจากตัว จากเจดีย์พุทธคยา ไม่มากนัก มีวิหารริมแม่น้ำ ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงามและเป็น ที่จำพรรษาของ หลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งกระเหรี่ยง และ พม่า ที่อาศัยอยู่ใน บริเวณนั้น เคารพนับถือ จากบริเวณ วัดวังก์วิเวการาม สารีริกธาตุ ประวัติการสร้างวัดวังก์วิเวกการามในปี
พ.ศ. 2499 หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านที่เป็นชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญได้พร้อมใจกัน สร้างศาลาวัดขึ้น และสร้างเสร็จใน เดือน 6 ของปีนั้นเอง แต่เนื่องจากยังมิได้มีการขออนุญาตจากกรมการศาสนา วัดที่สร้างเสร็จ จึงมีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า “ วัดหลวงพ่ออุตตมะ ” ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ เพราะมีแม่น้ำ 3สายไหลมาบรรจบกัน คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี
ตั้งอยู่ห่างจากตัว จากเจดีย์พุทธคยา ไม่มากนัก มีวิหารริมแม่น้ำ ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงามและเป็น ที่จำพรรษาของ หลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งกระเหรี่ยง และ พม่า ที่อาศัยอยู่ใน บริเวณนั้น เคารพนับถือ จากบริเวณ วัดวังก์วิเวการาม สารีริกธาตุ ประวัติการสร้างวัดวังก์วิเวกการามในปี
พ.ศ. 2499 หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านที่เป็นชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญได้พร้อมใจกัน สร้างศาลาวัดขึ้น และสร้างเสร็จใน เดือน 6 ของปีนั้นเอง แต่เนื่องจากยังมิได้มีการขออนุญาตจากกรมการศาสนา วัดที่สร้างเสร็จ จึงมีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า “ วัดหลวงพ่ออุตตมะ ” ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ เพราะมีแม่น้ำ 3สายไหลมาบรรจบกัน คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี
![]() | ![]() |
4.เจดีย์ุพุทธคยา
สิ่งน่าสนใจคือ เจดีย์พุทธคยา เป็นเจดีย์องค์ใหญ่ บนยอดเจดีย์ ซึ่งประดับด้วยฉัตรทองคำหนัก 400 บาท เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่ออุตตมะอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ที่หลวงพ่ออุตตามะให้้สร้าง จำลองขึ้น เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธากระดูกนิ้วหัวแม่มือขวาของพระพุทธเจ้าที่ขนาด เท่าเมล็ดข้าวสาร ไว้เป็นที่ สักการะของพุทธศาสนิกชนเจดีย์แบบพุทธคยามีลักษณะฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตุบริเวณใกล้กับเจดีย์พุทธคยา จำลอง มีร้านจำหน่ายสินค้าจากพม่าหลายร้านจำพวก เครื่องประดับ ผ้าแป้งพม่าเครื่องไม้ ในช่วง เดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี มีการจัดงานคล้ายวันเกิดหลวงพ่ออุตตมะ ในงานมีกิจกรรมต่างๆประกอบด้วยพิธีกรรมทางศาสนา การ แข่งขันชกมวยคาดเชือก การแสดงของชมรมวัฒนธรรมท้องถิ่นเช่น การรำแบบมอญ การรำตงของชาวกะเหรี่ยง และในงานประชาชนจะพร้อมใจกันแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมของชาวไทยรามัญและจัดเตรียม สำรับ อาหารทูน บนศีรษะไปถวายพระสงฆ์ที่วัด
สิ่งน่าสนใจคือ เจดีย์พุทธคยา เป็นเจดีย์องค์ใหญ่ บนยอดเจดีย์ ซึ่งประดับด้วยฉัตรทองคำหนัก 400 บาท เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่ออุตตมะอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ที่หลวงพ่ออุตตามะให้้สร้าง จำลองขึ้น เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธากระดูกนิ้วหัวแม่มือขวาของพระพุทธเจ้าที่ขนาด เท่าเมล็ดข้าวสาร ไว้เป็นที่ สักการะของพุทธศาสนิกชนเจดีย์แบบพุทธคยามีลักษณะฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตุบริเวณใกล้กับเจดีย์พุทธคยา จำลอง มีร้านจำหน่ายสินค้าจากพม่าหลายร้านจำพวก เครื่องประดับ ผ้าแป้งพม่าเครื่องไม้ ในช่วง เดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี มีการจัดงานคล้ายวันเกิดหลวงพ่ออุตตมะ ในงานมีกิจกรรมต่างๆประกอบด้วยพิธีกรรมทางศาสนา การ แข่งขันชกมวยคาดเชือก การแสดงของชมรมวัฒนธรรมท้องถิ่นเช่น การรำแบบมอญ การรำตงของชาวกะเหรี่ยง และในงานประชาชนจะพร้อมใจกันแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมของชาวไทยรามัญและจัดเตรียม สำรับ อาหารทูน บนศีรษะไปถวายพระสงฆ์ที่วัด
เจดีย์ุพุทธคยาสวยงามโดดเด่น
![]() | ![]() |
![]() | ![]() |
3.ชมวิถีชีวิตชาวมอญ
หากข้ามสะพานไม้แห่งนี้ไปก็จะพบกับหมู่บ้านของขาวมอญ ซึ่งอพยพมาจากอำเภอเย จังหวัดเมาะละแหม่งใน รัฐมอญ ประเทศพม่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2494 ปัจจุบันชาวบ้านส่วนมาก มีสถานะเป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าซึ่งไม่มี บัตรประชาชนไทย ชาวมอญที่นี่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ส่วนใหญ่เลี้ยงชีพด้วย เกษตรกรรม เช่น ปลูกพืช และทำ ประมง ชายฝั่ง ส่วนคนหนุ่มสาวส่วนมากนิยม ทำงานในโรงงานเย็บผ้า สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของหมู่บ้านมอญแห่งนี้ คือวัฒนธรรม แบบมอญที่ยังคงอยู่และค่อนข้างชัดเจน ไม่ได้สูญหายไปกับ กาลเวลาและวัฒนธรรมของชาติ อื่นนัก คนที่นี่ยังคงพูด ภาษามอญ แต่งกายแบบชาวมอญ แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากการแต่งกาย แล้ว ที่เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเป็น สาวชาว มอญอย่างจริงแท้แน่นอน ก็คือการเทินสิ่งของไว้บนศีรษะ อย่างชำนิชำนาญ ราวกับของที่เทินอยู่นั้น เป็นส่วน หนึ่งของร่างกาย โดยไม่หวั่นเกรงแรงโน้มถ่วงของโลก ดูแล้วสง่างามมิใช่น้อย ซึ่งสาว ๆ มักจะมาพร้อมกับใบหน้า ที่ฉาบไปด้วยแป้งทะนาคาเครื่องสำอางจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสีขาวนวล บนพวงแก้มเป็น ภาพที่น่าประทับใจเมื่อได้เห็น
หากข้ามสะพานไม้แห่งนี้ไปก็จะพบกับหมู่บ้านของขาวมอญ ซึ่งอพยพมาจากอำเภอเย จังหวัดเมาะละแหม่งใน รัฐมอญ ประเทศพม่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2494 ปัจจุบันชาวบ้านส่วนมาก มีสถานะเป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าซึ่งไม่มี บัตรประชาชนไทย ชาวมอญที่นี่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ส่วนใหญ่เลี้ยงชีพด้วย เกษตรกรรม เช่น ปลูกพืช และทำ ประมง ชายฝั่ง ส่วนคนหนุ่มสาวส่วนมากนิยม ทำงานในโรงงานเย็บผ้า สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของหมู่บ้านมอญแห่งนี้ คือวัฒนธรรม แบบมอญที่ยังคงอยู่และค่อนข้างชัดเจน ไม่ได้สูญหายไปกับ กาลเวลาและวัฒนธรรมของชาติ อื่นนัก คนที่นี่ยังคงพูด ภาษามอญ แต่งกายแบบชาวมอญ แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากการแต่งกาย แล้ว ที่เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเป็น สาวชาว มอญอย่างจริงแท้แน่นอน ก็คือการเทินสิ่งของไว้บนศีรษะ อย่างชำนิชำนาญ ราวกับของที่เทินอยู่นั้น เป็นส่วน หนึ่งของร่างกาย โดยไม่หวั่นเกรงแรงโน้มถ่วงของโลก ดูแล้วสง่างามมิใช่น้อย ซึ่งสาว ๆ มักจะมาพร้อมกับใบหน้า ที่ฉาบไปด้วยแป้งทะนาคาเครื่องสำอางจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสีขาวนวล บนพวงแก้มเป็น ภาพที่น่าประทับใจเมื่อได้เห็น
วิถีชีวิตของชาวมอญ
![]() | ![]() |
![]() | ![]() |
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่าน จ.นครปฐม ขับมาประมาณ 9 กม.จะพบสะพาน ลอยข้ามไปทาง จ.กาญจนบุรี ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ขับมาประมาณ 7 กม.ท่านจะพบสี่แยกให้ท่าน เลี้ยว ขวา(แยกซ้ายไปบ้านโป่ง ตรงไปคือถ้ำค้างคาว) เพื่อไปยัง อ.เมืองกาญจนบุรี จากนั้นมุ่งหน้าสู่สี่แยกแก่ง เสี้ยนให้ขับไปทาง อ.ทองผาภูมิ ซึ่งจะผ่านทั้งไทรโยคน้อย และไทรโยคใหญ่ ( หลักกิโลเมตรที่ 125 ทางหลวง หมายเลข 323 ) ท่านจะพบสามแยก ( ตรงไปไปอำเภอทองผาภูมิ +เขื่อนเขาแหลม ถ้าเลี้ยวขวาไป อำเภอสังขละบุรี)ให้ท่าน เลี้ยวขวามือไป สังขละบุรี ซึ่งท่านจะผ่าน น้ำตกเกริงกะเวีย+น้ำตกไดช่องถ่อง ผ่านอช. เขื่อน เขาแหลม เมื่อไปถึงแยก ด่านเจดีย์สามองค์ ท่านไม่ต้องเลี้ยวขวา ให้ขับตรงไป ประมาณ 7 กม. จะพบแยก ซ้ายมือไปสะพานอุตตมานุสรณ์ ขับเข้ามาอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะพบสะพานอุตตมานุสรณ์ หากต้องการไป เที่ยววัดวิเววังการามจากแยกด่านเจดี่ย์สามองค์ไม่ต้องเลี้ยวขวาให้ขับตรงไป ประมาณ 7.4 กม.จะเห็นแยกขวา วัดวังก์วิเวการาม และแยกซ้ายไป เจดีย์พุทธคยา จำลอง ให้ท่านเลี้ยวซ้ายไปทางเจดีย์พุทธคยา จำลอง
2. โดยรถสาธารณะ
จากสถานีขนส่งสายใต้นั่งรถ กรุงเทพฯ - กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยสามารถนั่งรถปรับอากาศ สายกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี แล้วไปลงที่สถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นนั่งรถสายกาญจนบุรี - ทองผาภูมิ - สังขละบุรี(รถไม่มีแอร์ )แล้วไปลงที่ท่ารถสังขละบุรี ใช้เวลาในการเดินทางจากตัวเมืองถึงสังขละบุรีประมาณ 4ช.ม. จากนั้นต่อรถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ค่ามอเตอร์ไซต์รับจ้าง 10 บาท ไปที่ ซองกาเลีย รีสอร์ท จากนั้นสามารถ ใช้บริการรถ ของบริษัท เอเซียไทรโยคเดินรถ จำกัด ตั้งอยู่ที่ตัวเมือง
- อัตราค่าโดยสาร รถตู้ปรับอากาศ118 บาท, รถปรับอากาศใหญ่ 151 บาท
- เวลารถ 7.30-16.30 น ทุก 1 ชั่วโมง
- ระยะเวลาเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที
- จากท่ารถสังขละบุรี นั่งรถมอเตอร์ไซต์ 10 บาท ไปยัง ซองกาเลีย รีสอร์ท
หมายเหตุ รถปรับอากาศชั้น 1 สายกรุงเทพ - กาญจนบุรี ค่าโดยสาร 79 บาท รถปรับอากาศชั้น 2 สายกรุงเทพ - กาญจนบุรี ค่าโดยสาร 62 บาท
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่าน จ.นครปฐม ขับมาประมาณ 9 กม.จะพบสะพาน ลอยข้ามไปทาง จ.กาญจนบุรี ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ขับมาประมาณ 7 กม.ท่านจะพบสี่แยกให้ท่าน เลี้ยว ขวา(แยกซ้ายไปบ้านโป่ง ตรงไปคือถ้ำค้างคาว) เพื่อไปยัง อ.เมืองกาญจนบุรี จากนั้นมุ่งหน้าสู่สี่แยกแก่ง เสี้ยนให้ขับไปทาง อ.ทองผาภูมิ ซึ่งจะผ่านทั้งไทรโยคน้อย และไทรโยคใหญ่ ( หลักกิโลเมตรที่ 125 ทางหลวง หมายเลข 323 ) ท่านจะพบสามแยก ( ตรงไปไปอำเภอทองผาภูมิ +เขื่อนเขาแหลม ถ้าเลี้ยวขวาไป อำเภอสังขละบุรี)ให้ท่าน เลี้ยวขวามือไป สังขละบุรี ซึ่งท่านจะผ่าน น้ำตกเกริงกะเวีย+น้ำตกไดช่องถ่อง ผ่านอช. เขื่อน เขาแหลม เมื่อไปถึงแยก ด่านเจดีย์สามองค์ ท่านไม่ต้องเลี้ยวขวา ให้ขับตรงไป ประมาณ 7 กม. จะพบแยก ซ้ายมือไปสะพานอุตตมานุสรณ์ ขับเข้ามาอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะพบสะพานอุตตมานุสรณ์ หากต้องการไป เที่ยววัดวิเววังการามจากแยกด่านเจดี่ย์สามองค์ไม่ต้องเลี้ยวขวาให้ขับตรงไป ประมาณ 7.4 กม.จะเห็นแยกขวา วัดวังก์วิเวการาม และแยกซ้ายไป เจดีย์พุทธคยา จำลอง ให้ท่านเลี้ยวซ้ายไปทางเจดีย์พุทธคยา จำลอง
2. โดยรถสาธารณะ
จากสถานีขนส่งสายใต้นั่งรถ กรุงเทพฯ - กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยสามารถนั่งรถปรับอากาศ สายกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี แล้วไปลงที่สถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นนั่งรถสายกาญจนบุรี - ทองผาภูมิ - สังขละบุรี(รถไม่มีแอร์ )แล้วไปลงที่ท่ารถสังขละบุรี ใช้เวลาในการเดินทางจากตัวเมืองถึงสังขละบุรีประมาณ 4ช.ม. จากนั้นต่อรถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ค่ามอเตอร์ไซต์รับจ้าง 10 บาท ไปที่ ซองกาเลีย รีสอร์ท จากนั้นสามารถ ใช้บริการรถ ของบริษัท เอเซียไทรโยคเดินรถ จำกัด ตั้งอยู่ที่ตัวเมือง
- อัตราค่าโดยสาร รถตู้ปรับอากาศ118 บาท, รถปรับอากาศใหญ่ 151 บาท
- เวลารถ 7.30-16.30 น ทุก 1 ชั่วโมง
- ระยะเวลาเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที
- จากท่ารถสังขละบุรี นั่งรถมอเตอร์ไซต์ 10 บาท ไปยัง ซองกาเลีย รีสอร์ท
หมายเหตุ รถปรับอากาศชั้น 1 สายกรุงเทพ - กาญจนบุรี ค่าโดยสาร 79 บาท รถปรับอากาศชั้น 2 สายกรุงเทพ - กาญจนบุรี ค่าโดยสาร 62 บาท
![]() |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น