บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนของรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

2554-07-10

ตลาดแก่งคอย ณ สระบุรี

ตลาดแก่งคอย กิน เที่ยว ย้อนยุคยามเย็น


ใกล้วันหยุดสุดสัปดาห์ หลายคนอาจกำลังนึกถึงภาพความร่มรื่น สงบร่มเย็น การเดินทางไปพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดไกลๆ เพื่อทำให้ตนเองได้รู้สึกผ่อนคลายจากหน้าที่การงานและบทบาทในชีวิตประจำวันที่ต้องเจอกับความวุ่นวาย จนบางครั้งเราลืมไปว่า เราสามารถหยุดพัก หาที่สงบ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ได้ และหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับครองใจคนเมืองในช่วงเวลาวันหยุด นั่นคือ การไปเดินกิน เดินเที่ยว ตลาดน้ำ ตลาดโบราณ ที่ปัจจุบันมีอยู่แทบทุกมุมเมือง ซึ่งนอกจากจะได้เลือกซื้อสินค้าเก๋ๆ หรือชิมของอร่อยในท้องถิ่นแล้ว การไปเที่ยวตลาดยังสามารถทำให้เราสามารถเดินทางย้อนอดีตบรรยากาศเก่าๆ ที่อบอวลไปด้วยรอยยิ้มความรู้สึกดีๆ ของคนในชุมชน ที่บางครั้งเราอาจไม่เคยเห็นเหล่านี้มาก่อนก็เป็นได้
ในช่วงที่ผ่านมา สนุก! ท่องเที่ยว เชื่อว่านักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยคงเดินทางไปเที่ยวตลามตลาดตลาดน้ำ ตลาดโบราณ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมาบ้างแล้ว แต่ในครั้งนี้เราจะพาไปคุณเดินทางไปเที่ยวตลาดโบราณแห่งใหม่ที่หลายคนอาจยังไม่เคยไปสัมผัสและไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก ก็คือ 'ตลาดแก่งคอย' อ.แก่งคอย จ. สระบุรี ตลาดโบราณเก่าแก่ที่ยังมีชีวิตและความคึกคักของการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
การมาเดินทางไปเที่ยวตลาดแก่งคอย สามารถเดินทางมาได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถไฟ และรถโดยสารประจำทาง เพราะมีระยะทางห่างจากกรุงเทพฯ ไม่มากนัก ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว ถ้าขับรถยนต์ส่วนตัวมาเอง สามารถจอดรถได้ทั้งในบริเวณตลาดแก่งคอย หรือจะขับไปจอดไว้วัดแก่งคอย ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ก็ได้เหมือนกัน หรือถ้าใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถไฟกินลมชมวิวเพลินๆ ก็ตีตั๋วมามาลงได้ที่สถานีรถไฟแก่งคอย ซึ่งถือว่าเป็นทริปการเดินทางมาเที่ยวตลาดที่สนุก สะดวกสบาย และเสียค่าใช้จ่ายไม่แพง
เมื่อมาถึงแล้ว หากยังไม่รู้สึกหิวกันมาก เราแนะนำให้ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ ตลาดแก่งคอยกันก่อน อย่างวัดแก่งคอย วัดเก่าแก่ของชุมชน ซึ่งภายในวัดมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น พระธาตุเจดีย์ศรีป่าสัก ฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 80 พรรษา ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกได้ประทานให้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะบูชาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แวะนมัสการ รูปหล่อหลวงพ่อลา อดีตเจ้าอาวาสวัดแก่งคอยที่ชาวบ้านให้เคารพนับถือ ในวิหารด้านหน้าวัด ส่วนด้านหลังวัดแก่งคอยมีพื้นที่ติดแม่น้ำป่าสัก สามารถไปเดินเล่นชมวิวทิวทัศน์และลมเย็นๆ ได้ตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ใกล้ๆ กับพระธาตุเจดีย์ศรีป่าสักยังมี อนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา หรือจะเดินไปถ่ายรูปเล่นเป็นที่ระลึกบริเวณ สถานีรถไฟแก่งคอย สถานีรถไฟเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของกำลังทหารไทยและญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เดินเที่ยวกันจนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทอดน่องท่องตลาดแก่งคอยกันบ้าง ในตัวเมือง อ. แก่งคอย มีตลาดให้เราเลือกเดินเที่ยวได้ถึง 3 ตลา และเป็นตลาดที่อยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งไม่ว่าคุณจะมาเที่ยวเวลาไหนก็หาของกินอร่อยๆ ได้ตลอดเวลา แต่ก่อนไปเที่ยวกันเรามาทำความรู้จักตลาดทั้ง 3 แห่งกันก่อนสักนิด
1.ตลาดเทศบาลเมืองแก่งคอย เปิดตลาดในช่วงเช้าถึงช่วงบ่ายๆ ขายทั้งอาหารคาว อาหารหวาน และของกินมากมาย เหมาะสำหรับคนตื่นเช้ า ถ้ามาสายมากๆ ตลาดจะวาย ร้านขายของจะปิดเกือบหมด อดกินของอร่อยไม่รู้ด้วยนะ
2.ตลาดยามเย็น อยู่บริเวณถนนสุดบรรทัดซอย 3 เปิดตลาดตั้งแต่ประมาณบ่าย 3 ไปจนถึงหัวค่ำ เน้นขายของกินและของซื้อกลับบ้านได้เป็นส่วนใหญ่ ใครไปเดินแล้วรับรองน้ำลายสออย่างแน่นอน 
3.ตลาดโต้รุ่ง แหล่งรวมของกินประเภทอาหารจานเดียว อาหารตามสั่งมาเอาใจคนนอกดึก เปิดตลาดตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน
3 ตลาด ใน อ.แก่งคอยเป็นตลาดเล็กๆ ที่เดินลัดเลาะไปมาแป๊บเดียวก็ทั่วแล้ว แต่ไปครั้งเดียวจะพาเดินกินเดินเที่ยวทั้ง 3 ตลาด ก็อาจจะเมื่อยและอิ่มกันเกินไป เราเลยเลือกพาไปเดินเที่ยว 'ตลาดยามเย็น' กันก่อนดีกว่า
ที่เลือกตลาดแห่งนี้ก็เพราะว่าเป็นตลาดที่รวมพลของอร่อยในแก่งคอยมาไว้มากมาย รวมถึงร้านของกินริมทางที่คนแก่งคอยมาอุดหนุนกันเป็นประจำแต่สำหรับเรื่องรสชาติจะอร่อยจนคุณติดใจหรือไม่นั้น งานนี้ต้องแวะไปเที่ยว ไปชิมกันดูละครับ
หากเดินทอดน่องเที่ยวตลาดแก่งคอยไปเรื่อยๆ เราจะได้สัมผัสบรรยากาศสนุกๆ ทั้งวิถีชีวิตผู้คนภาพบ้านไม้โบราณที่ยังเปิดขายของกินของใช้ ท่ามกลางบรรยากาศคลาสสิก และความเป็นกันเองของพ่อค้าแม่ค้า
ชาวบ้านในตลาดแก่งคอยยังคงใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย แม้ความเจริญของถนนหนทางและรถยนต์จะเข้าเอื้ออำนวยความสะดวกสบาย แต่เราก็ยังเห็นชาวบ้านขี่จักรยานมาซื้อข้าวขาวของในตลาด หรือไม่ก็นั่งรถสามล้อถีบกลับบ้านแบบเพลินๆ
อยากรู้ว่าวิถีวีชีวิตของชาวแก่งคอยเป็นเช่นไรนั้น นักท่องเที่ยวสามารถสังเกตได้จากสินค้าที่วางขายในตลาด เช่น ร้านขายอุปกรณ์การทำประมงต่างๆ ในตลาด ที่สะท้อนให้เห็นว่า ชีวิตชาวแก่งคอยมีความผูกพันกับการสายน้ำและประมงพื้นบ้าน รวมถึงปลาต่างๆ ที่จับได้มากมาย ก็นำมาวางขายให้เราซื้อกลับบ้านได้ในราคาไม่แพง

ในตอนเย็นๆ บริเวณ ถ. สุดบรรทัด ซอย 3 จะเป็นที่ตั้งของตลาดยามเย็น ที่ชาวบ้านในตลาดจะนำสินค้าในท้องถิ่นมาวางขาย
มีทั้งอาหารคาวที่หน้าตาชวนลิ้มลอง หรือขนมหวานหน้าตาหน้ากิน
นอกจากนี้ยังมีผักและผลไม้ นานาชนิดๆ ที่วางจำหน่ายในราคาชาวบ้าน ซึ่งมั่นใจในเรื่องคุณภาพและความอร่อย


ส่วนของฝากกลับบ้านก็มีมากมาย ทั้งปลาช่อนแดดเดียว ปลาสลิดแดดเดียว ปลาแห้ง ปลาย่าง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลา อย่างแหนมปลาสุดอร่อย
นอกจากของอร่อยในตลาดแล้ว ริมถนนบริเวณรอบๆ ตลาด ก็ยังมีของกินอร่อยให้ชิมระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ หรือขนมอย่างสาคูไส้หมู ข้าวเกรียบปากหม้อ ที่แป้งหอมใบเตยและไส้รสชาติกลมกล่อม ยิ่งกินยิ่งติดใจ
การเที่ยวตลาดแก่งคอยถ้าจะให้สนุกและเพลิดเพลิน ต้องเดินช่วงเวลาที่ไม่ร้อนมากจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป หากจะมีถุงผ้าขนาดใหญ่ไปด้วยก็จะช่วยให้หิ้วไม่พะรุงพะรัง เดินเล่นไปเรื่อยๆ ใจเย็นๆ เท่านี้ก็มีความสุขเกินบรรยายแล้ว

10 สุดยอดที่เที่ยวฮอต ณ บึงกาฬ

เปิดตัวกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับ 'บึงกาฬ' จังหวัดหมายเลข 77 ของประเทศไทย ที่หลายคนยังสงสัยว่าจังหวัดนี้ตั้งอยู่ส่วนไหนของประเทศไทยกันหนอ? 
บึงกาฬ ชื่อนี้เคยมีสถานะเป็นแค่ อ.บึงกาฬ เขตการปกครองส่วนหนึ่งของจังหวัดหนองคาย มีสภาพพื้นที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวจังหวัดหนองคายไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราวๆ 136 กิโลเมตร และมีพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขงเป็นแนวยาว เป็นพรมแดนกั้นระหว่างประเทศไทยกับแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่หลังจากประกาศเป็นจังหวัดบึงกาฬเมื่อกลางปีที่แล้ว ก็ได้รวมอำเภออีก7 แห่งที่อยู่ใกล้เคียงกันมารวมไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งจังหวัดคือ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ซึ่งในแต่ละอำเภอก็จุดเด่นและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ที่ถ้ามีโอกาสก็น่าจะได้เดินทางไปเยือนกันสักครั้ง 
สำหรับใครที่สนอกสนใจและคิดจะเดินทางไปสัมผัสความสวยงามของจังหวัดบึงกาฬ Sanook! ท่องเที่ยว ก็ไม่พลาดรวบรวมสุดยอดที่เที่ยวของจังหวัดใหม่แห่งนี้มาให้นักเดินทางได้ชื่นชมและสัมผัสมนต์เสน่ห์ก่อนใค
1. เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว (อ. บุ่งคล้า) ผืนป่าใหญ่ของ จ. บึงกาฬ และเป็นป่าอนุรักษ์ที่สวยสมบูรณ์ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของภาคอีสาน ภายในพื้นที่มีน้ำตกสวยงามหลายแห่ง เช่น น้ำตกถ้ำฝุ่น น้ำตกเล็กๆ ที่เข้าถึงสะดวกที่สุด บริเวณน้ำตกมีเพิงถ้ำหลายแห่ง หรือน้ำตกชะแนน น้ำตกใหญ่ที่ไหลลัดเลาะมาตามลำห้วย แล้วตกมาเป็นน้ำตกสามชั้นอยู่ห่างกัน คือ ขัวพญานาค ชะแนน และบึงจระเข้ โดยมีน้ำตกชะแนนเป็นน้ำตกขนาดใหญ่สุด
2.น้ำตกเจ็ดสี (อ. บุ่งคล้า) น้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว สายน้ำไหลตกจากหน้าผาหินทรายแล้วแผ่กว้างออกสวยงามตระการตา ด้านล่างมีแอ่งน้ำสำหรับเล่นน้ำและโขดหินให้นั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจ
3. น้ำตกตาดกินรี (อ. บึงโขงหลง) อยู่ในป่าภูลังกา เป็นน้ำตกใหญ่ไหลลงสู่หุบเหว น้ำตกชั้นบนไหลลดหลั่นกันไปตามลานหินกว้าง และมีแอ่งน้ำใสให้เราสามารถลงไปเล่นน้ำกันได้
4. บึงโขงหลง (อ. บึงโขงหลง) ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์นก โดยเฉพาะนกน้ำที่ย้ายถิ่นเข้ามาในช่วงฤดูหนาว ทั้งห่านป่า นกเป็ดน้ำ นกยาง นกกระเต็น มีจุดดูนกอยู่ดอนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง บริเวณบึงยังมีหาดคำสมบูรณ์ที่มีหาดทรายทอดยาวในช่วงฤดูหนาว เป็นแหล่งพักผ่อนและชมวิวทิวทัศน์ มองเห็นภูลังกาเป็นฉากหลัง
5. ภูทอก (อ.ศรีวิไล ) ภูเขาหินทราย ที่มีวัดเจติยาคีรีวิหาร ตั้งอยู่เชิงเขา และมีสะพานไม้สร้างวนเวียนขึ้นไปสู่ยอดเขารวม 7 ชั้น เพื่อเป็นทางเดินขึ้นไปยังกุฏิและถ้ำที่อยู่ตามหลืบผา และมองเห็นความสวยงามของภูมิประเทศเบื้องล่างได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ถ้าในวันที่อากาศแจ่มใสอาจมองได้ไกลถึงเทือกเขาในเขตจังหวัดนครพนม
6.วัดสว่างอารมณ์ (อ. ปากคาด) ภายในวัดมีโบสถ์อยู่ยนก้อนหินใหญ่ หลืบถ้ำด้านล่างเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ปางปรินิพพาน บริเวณด้านบนก้อนหินเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์สวยงามของแม่น้ำโขง
7.หาดทรายขาว (อ. บึงกาฬ) เป็นหาดทรายขาวริมฝั่งแม่น้ำโขงที่สวยงามระยะทางยาวประมาณ 2 กม. เมื่อยามเช้าและเย็นอากาศดีลมพัดเย็นสบาย และความสวยงามเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
8.แก่งอาฮง (อ.บึงกาฬ) เป็นแก่งหินกลางลำน้ำโขง บริเวณหน้าวัดอาฮงศิลาวาส บ้านอาฮง ตำบลหอคำ ถือว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุดไม่สามารถวัดความลึกได้ กระแสน้ำบริเวณแก่งอาฮงจะไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลากและมีกระแสน้ำไหลวนเป็น รูปกรวยขนาดใหญ่ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็น "สะดือแม่น้ำโขง" แม่น้ำโขงบริเวณแก่งอาฮงมีความกว้างประมาณ300 เมตร ในฤดูน้ำลดและมีความกว้างราว 400 เมตร ในฤดูน้ำหลาก และจะสามารถมองเห็นแก่งได้ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคมของทุกปี และกลุ่มหินที่ปรากฎบริเวณแก่งอาฮงจะมีชื่อเรียกตามลักษณะของหิน เช่น หินลิ้น นาค หินปลาเข้ ถ้ำปลาสวาย นอกจากจะเป็นแหล่งพักผ่อนและสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอบึงกาฬและเป็นสถานที่ เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ คือ"บั้งไฟพญานาค" ในช่วงประเพณี ออกพรรษา จะมีนักท่องเที่ยวมาพักเที่ยวชมปรากฏการณ์ธรรมชาติ ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค บริเวณบ้านอาฮงเป็นจำนวนมาก จะมีมากในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ที่ปฏิทินไทย กับปฏิทินประเทศ สปป.ลาวตรงกัน และชาวบ้านโดยรอบยังอาศัยทำการประมงด้วย
9. หนองกุดทิง (อ.บึงกาฬ) แหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งหนองคายที่ยังความเป็นธรรมชาติไว้อย่างแท้จริง ด้วยมีพื้นที่เชื่อมต่อแม่น้ำโขง ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีความความหลากหลายทางชีวภาพจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับโลก (พื้นที่แรมซาร์) แห่งที่ 11 ของประเทศไทย หนองกุดทิง มีพื้นที่ราว 22,000 ไร่ มีสัตว์น้ำอาศัยอยูมากกว่า 250 สายพันธุ์ มีปลาที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกถึง 20 สายพันธ์ มีนกพันธุ์ต่างๆกว่า40 ชนิด เหมาะสำหรับการมาพักผ่อน ชื่นชมธรรมชาติในวันสบายๆ
10. ตลาดสองฝั่งโขง (อ.บึงกาฬ)  เป็นตลาดริมแม่น้ำโขง ที่มีพ่อค้าแม่ค้าทั้งคนไทย และคนลาวข้ามฟากมาเปิดขายสินค้าในท้องถิ่นกันอย่างคึกคัก ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง เสื้อผ้า ของกินพื้นถิ่น เดินเล่นชิลล์ๆ ในบรรยากาศแบบพื้นบ้าน ติดตลาดเฉพาะวันอังคารกับวันศุกร์
การเดินทางไปจังหวัดบึงกาฬ สามารถเดินทางหลายเส้นทาง ดังนี้
1.รถยนต์ 
- จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดสระบุรีแล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ผ่านจังหวัดนครราชสีมา-จังหวัดขอนแก่น- จังหวัดอุดรธานี-จนถึงจังหวัดหนองคายและจากหนองคายสู่อำเภอบึงกาฬ โดยจะผ่านอำเภอโพนพิสัย กิ่งอำเภอรัตนวาปี อำเภอปากคาด รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 751 กิโลเมตร
2. รถโดยสารประจำทาง 
มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศ 
- จากบริษัทขนส่งจำกัด http://www.transport.co.th โทรศัพท์: 0 2 936  2841 - 48, 0 2936 2852 - 66 ต่อ 442, 311
- บริษัท แอร์อุดร จำกัด http://airudon.comze.com สำรองที่นั่ง กรุงเทพฯ โทร 02 936 2735 อุดรธานี โทร 0 4224 5789 สถานที่จำหน่ายตั๋วอาคารหมอชิต 2 ชั้น 3 ช่องจำหน่ายตั๋ว 55 และ 118 (หลังประชาสัมพันธ์ ชั้น 3)
- บริษัท 407 พัฒนา ให้บริการด้วยรถปรับอากาศชั้น 1 และชั้น 2 ชนิด ม.1ข ,ม.4ข ,ม.1พ ,ม.2  ให้บริการรถสาย กรุงเทพฯ หนองคาย บึงกาฬ บุ่งคล้า, กรุงเทพฯ กุมภวาปี บึงกาฬ ,ระยอง-ขอนแก่น-พังโคน-บึงกาฬ
  และยังมีรถบริษัทเอกชนหลายแห่ง จัดรถวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-หนองคาย โดยเริ่มจากสถานีขนส่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร

3. รถไฟ
- มีขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ-หนองคาย และขบวนรถด่วนดีเซลราง กรุงเทพ - อุดรฯ ทุกวัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 1690, 0 2223 7010, 0 2223 7020  www.railway.co.th  สถานีรถไฟหนองคาย โทร. 0 4241 1592
4. เครื่องบิน 
สามารถ ไปได้โดยลงที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี รายละเอียดสอบถามได้ที่บริษัทการบินไทย จำกัด http://www.thaiairways.co.th/  ศูนย์สำรองที่นั่ง 0 2356 1111
สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย โทร. 0 2515 9999 http://www.airasia.com/th/th/home.html
สายการบินนกแอร์   www.nokair.com Call us Nok Air at 1318 or +662- 900-9955

ดอยอ่างขาง ณ เชียงใหม่

เที่ยวดอย ชมดาว สัมผัสไอหนาว ที่ “ดอยอ่างขาง“ จ.เชียงใหม่

ดอยอ่างขาง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ทางทีมงานคู่หูเดินทางอยากจะแนะนำให้คุณผู้อ่านได้รู้จักกัน เพราะเป็นสถานที่ที่สวยงาม บรรยากาศดี อากาศบริสุทธิ์ และที่สำคัญอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปีด้วยที่ตั้งที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,400 เมตร มีลักษณะภูมิประเทศเหมือนท้องกระทะหรืออ่าง อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีประมาณ 17.7 องศาเซลเซียส ถ้ามาในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิก็จะลดลงเป็นเลขหลักเดียว ถ้ามาในช่วงฤดูร้อนอากาศก็จะอุ่นขึ้นแต่ก็ไม่ร้อนมาก ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ ต.แม่งอน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 159 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ถนนลาดยางตลอดเส้นทาง จุดเด่นที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวที่นี่กันมากเพราะสามารถไปเที่ยวชมดอกไม้เมืองหนาวต่างๆ ได้ภายในโครงการหลวงสถานีเกษตรอ่างขางซึ่งมีความสวยงามและน่าประทับใจเป็นอย่างมาก โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 50 บาท ภายในโครงการมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย ดังนี้
สวนแปดสิบ
สวนนี้ตั้งชื่อในวาระที่หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวงมีพระชนมายุครบ 80 ชันษาเป็นแปลงปลูกไม้เมืองหนาวกลางแจ้ง มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 5 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์สำหรับการเที่ยวชมดอยอ่างขาง ตั้งอยู่ใจกลางสถานีเกษตรอ่างขาง บริเวณด้านหน้าสำนักงานสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้เมืองหนาวสีสันสวยงามทั้งจากในและต่างประเทศ เช่นกะหล่ำยักษ์ คะน้าประดับ แพนซีไวโอลา เดลฟีเนียม
นีมีเซีย แมกโนเลีย ไม้ตระกูลซากุระ เมเปิล แพนซีไวโอลา เดซี สัปปะรดสี เป็นต้น โดยมีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันตลอดทั้งปี ไฮไลท์อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดคือ การไปชมต้นซากุระแท้ๆ จากประเทศญี่ปุ่นซึ่งปลูกไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ซากุระต้นนี้เติบโตได้ดีที่อ่างขางและออกดอกสวยงามมาก ใครที่อยากเห็นดอกซากุระแท้ๆ โดยที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงประเทศญี่ปุ่น ก็สามารถมาเที่ยวชมได้ที่นี่และถ้ามาในช่วงหน้าหนาวก็จะได้พบกับซากุระเมืองไทยหรือดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูสวยหวานเป็นของแถมอีกด้วย ด้านข้างมีบริการร้านอาหารของโครงการฯ (สโมสรอ่างขาง) ถ้ามาในช่วงเทศกาลแนะนำให้สำรองที่นั่งไว้ก่อนเพราะคนค่อนข้างเยอะมากที่นี่จะมีบริการอาหารที่หารับประทานยาก เช่น สลัดผักอ่างขาง เป็นสลัดผักปลอดสารพิษนะครับ ปลาเทราต์ทอดกระเทียมพริกไทยดำ เห็ดหอมสดทอด น้ำพริกอ่างขาง ที่รับประทาน คู่กับผักสดกรอบอร่อยได้รสชาติดี และอีกเมนูหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นคือ "ขาหมู หมั่นโถยูนาน" นั่นเองซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของที่นี่รสชาติอร่อยมากครับ
พระตำหนักดอยอ่างขาง
อยู่ในป่าเมเปิลบนเนินฝั่งตรงข้ามกับสโมสรอ่างขางติดกับสวนแปดสิบ ลักษณะเป็นพระตำหนักหลังเล็ก ล้อมรอบไปด้วยป่าเมเปิลที่ใบมีสีสันสวยงามในแต่ละฤดูกาล บริเวณด้านหลังพระตำหนักเป็นป่าซากุระซึ่งจะออกดอกในช่วงฤดูหนาว สามารถเดินเที่ยวชมได้แค่บริเวณภายนอกพระตำหนักเท่านั้น
โรงเรือนปลูกผักเมืองหนาว
ป็นโรงเรือนพลาสติกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางด้านหลังโครงการบริเวณทางออก ภายในโรงเรือนทำเป็นแปลงปลูกพืชผักเมืองหนาวหลายชนิด ด้านหลังของโรงเรือนเป็นโรงปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน ผลผลิตที่ได้ส่งขายที่ร้านจำหน่ายผลผลิตของโครงการหลวงอ่างขางบริเวณโรงเรือนไม้ในร่ม
สวนบ๊วย - สวนท้อ
สวนบ๊วยมีอยู่ด้วยกัน 2 จุด จุดอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือก่อนถึงสโมสรอ่างขาง และอีกจุดหนึ่งบริเวณฝั่งตรงข้ามกับโรงเรือนปลูกผัก ส่วนสวนท้อมีกระจายอยู่หลายจุด จุดใหญ่สุดจะอยู่หน้าสวนบอนไซ ในส่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรือนปลูกผักนั้นจะมีการปลูกบ๊วยและท้อสลับกัน มีการจัดวางเก้าอี้ไม้ไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้นั่งถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันในบรรยากาศงดงามด้วยดอกบ๊วยสีขาวตัดกับดอกท้อสีชมพูปลูกเป็นแถวเรียงกันอย่างสวยงามเป็นระเบียบ
โรงเรือนกุหลาบ
รงเรือนกุหลาบเป็นแปลงทดลองปลูกกุหลาบในโรงเรือน ตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ประมาณ 100 เมตรจากด่านเก็บค่าธรรมเนียม โรงเรือนกุหลาบมี 2 โรง โรงแรกเป็นแปลงทดลอง เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โรงเรือนถัดไปเป็นโรงเรือนปลูกกุหลาบเพื่อการวิจัยไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ภายในโรงเรือนแรกเป็นแหล่งรวบรวมกุหลาบหลายชนิดหลากสีมีทั้งชนิดที่มีกลิ่นหอมและชนิดที่ไม่มีกลิ่น ด้านท้ายของโรงเรือนมีบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับกุหลาบชนิดต่างๆ นอกจากจะปลูกกุหลาบเพื่อทดลองแล้วยังปลูกเพื่อตัดดอกเก็บผลผลิตอีกด้วย ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมหลังจากช่วงที่ตัดดอกไปแล้วก็อาจจะไม่เห็นดอกกุหลาบสวยๆ อย่างที่อยากจะเห็น ภายในโรงเรือนจะใช้วิธีการเพิ่มความชื้นโดยการพ่นสเปรย์น้ำอัตโนมัติ กำหนดเวลาที่จะให้น้ำได้ติดประกาศไว้ที่ปากทางเข้า ดังนั้นการจะเข้าไปชมในโรงเรือนควรดูกำหนดการให้น้ำด้วย มิฉะนั้นจะเปียกทั้ง คนและกล้อง
โรงเรือนพันธุ์ไม้ในร่ม
เป็นโรงเรือนพลาสติกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางด้านขวามือห่างจากด่านเก็บค่าธรรมเนียมประมาณ 100 เมตร ตรงข้ามกับโรงเรือนกุหลาบ โรงเรือนนี้เป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้ดอกไม้ประดับในร่มไว้มากมาย เช่น กล้วยไม้ประเภทต่างๆ บีโกเนีย มอส เฟิร์น และมีอีกมากมายหลายสายพันธุ์สีสันสวยงาม นอกจากจะมีไว้ให้ชมแล้วบางชนิดยังจัดจำหน่ายให้กับผู้สนใจอีกด้วย จุดจำหน่ายผลผลิตของโครงการหลวงอยู่ภายในโรงเรือนทางด้านหน้า ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายมีทั้งไม้ประดับกระถางเล็กๆ พืชผักจากในโครงการ ผลิตภัณฑ์แปรรูป หนังสือ และโปสต์การ์ด
สวนบอนไซ
นอกจากนี้ยังมีบอนไซที่อายุยืนที่สุดในโลกให้ชมอีกด้วย ในโดมรูปทรงหกเหลี่ยมจะจัดแสดงพันธุ์พืชภูเขาเขตร้อนและดอกกล้วยไม้จิ๋วที่สุด ที่จะออกดอกเดือนมกราคมของทุกปี และมีสวนหินธรรมชาติ
ภายในโครงการสถานีเกษตรหลวงอ่างขางยังจัดให้มีแปลงสาธิตอื่นๆ อีกมากมายอาทิ แปลงสาลี่ แปลงกีวี แปลงพลับ แปลงแมคาเดเมียเป็นต้น ด้านหน้าถัดจากโรงเรือนกุหลาบยังจัดให้มีสวนไม้ดอกกลางแจ้งขึ้นมาอีกจุดหนึ่งครับ ตรงจุดนี้ทางโครงการฯก็จัดและตกแต่งสวนไว้อย่างสวยงามเช่นกัน ส่วนในยามค่ำคืนบรรยากาศจะโรแมนติกมากๆ เพราะบนท้องฟ้ามีดาวดาวนับร้อยนับพันดวงลอยอยู่เต็มไปหมดซึ่งเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากกับชีวิตในเมืองอย่างเราๆ ครับ
บริเวณลานจอดรถด้านหน้าทางเข้าโครงการฯจะมีร้านอาหาร บ้านพัก ร้านค้าขายของที่ระลึกไว้บริการ ในช่วงเทศกาลจะมีมีชาวไทยภูเขานำของที่ระลึกทำมือมาวางขาย ในราคาไม่แพง เช่น "กำไลหญ้าอิบูเค" ซึ่งถักจากหญ้าอิบูเค แล้วนำมาย้อมสีสวยงามจนกลายเป็นสินค้าประจำอ่างขางไปแล้วครับ ผู้ที่ชื่นชอบสินค้าท้องถิ่น ก็เลือกซื้อหาสินค้าที่ทำด้วยมือชนิดต่างๆ เช่น หมวก ผ้าพันคอ เสื้อชาวเขา ราคาต่อรองกันได้ เป็นทางช่วยกระจายรายได้ไปยังคนในท้องที่ที่ดีทางหนึ่งครับ
มีเครื่องดื่มแก้หนาวให้บริการ อาทิ น้ำขิงร้อน นมสดร้อน น้ำเก๊กฮวยร้อน ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ ดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกอุ่นขึ้นมาทันที หรือจะเป็น ข้าวโพดปิ้ง มันเผาก็มีครับ เมื่อครั้งที่ทางทีมงานได้ไปเก็บเรื่องราวมาฝากกันนั้นอุณหภูมิที่อ่างขางหนาวมากถึง 2 องศาเซลเซียส จึงขอแนะนำคุณผู้อ่านถ้ามาในช่วงหน้าหนาวกรุณาเตรียมร่างกายและอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อมถุงมือถุงเท้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และที่สำคัญถ้ามีถุงนอนด้วยแล้วสบายสุดๆ เลยครับ อีกจุดหนึ่งตรงบริเวณทางขึ้นมาบนสถานีเกษตรหลวงอ่างขางจะมีจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณนี้เราของแนะนำให้จอดรถลงไปถ่ายรูปกันนะครับเค้ามีระเบียงไม้ให้เราไปยืนเก๊กท่าพร้อมมีแบ็คกราวนด์เป็นวิวที่สวยงามดีครับ
ค่อยๆ เดินเล่น ค่อยๆ ชมธรรมชาติ ใช้ชีวิตให้ช้าลง เก็บภาพความประทับใจเหล่านี้ไว้ในความทรงจำ...ที่สวยงาม และไม่ว่าจะหน้าหนาวหรือหน้าไหนผมว่า "ดอยอ่างขาง" ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมว่ามีเส่นห์และสวยงามตลอดทั้งปี
"...TIPS รู้ก่อนเที่ยว..."
ที่พักมีให้เลือก 2 แบบ คือ พักแบบปกติ บ้านพักในโครงการฯ ซึ่งต้องจองกันแบบล่วงหน้ามากๆ เพราะถ้าในช่วงวันหยุดยาวๆ สถานที่พักอาจจะเต็มได้ โรงแรม หรือห้องพักของชาวบ้านที่มีให้บริการบริเวณจุดจอดรถก่อนทางเข้าโครงการหลวงฯ หรือถ้าชอบแนวผจญภัยนิดหน่อยก็ต้องแบบนอนเต็นท์ ซึ่งจุดกางเต็นท์ก็มีให้บริการอยู่ 2 จุดด้วยกัน คือจุดของโครงการหลวงฯ ซึ่งอยู่ก่อนถึงทางเข้าประมาณ 3 กิโลเมตร และอีกจุดหนึ่งเป็นของหน่วย อพปร. เป็นลานกว้างปรับระดับดินให้เป็นแนวราบ ข้อดีของจุดนี้คือเมื่อคุณตื่นนอนคุณก็สามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นแบบพาโนรามาสวยดีทีเดียว มีน้ำอุ่นให้บริการ จะอยู่เลยขึ้นไปอีกประมาณ 4-5 กิโลเมตร
การเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัว จากเชียงใหม่ ใช้เส้นทางสาย 107 เชียงใหม่-ฝาง เป็นเส้นทางผ่านแม่ริม แม่แตง เชียงดาว ทางแยกเข้าดอยอ่างขางที่ กิโลเมตรที่ 137 มีระยะทางถึงอ่างขางประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่สั้นแต่ชันมาก รถเก๋งและรถทุกชนิดขึ้นได้แต่ต้องขับด้วยความระมัดระวังอย่างมาก
รถประจำทาง บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการรถออกจากสถานีหมอชิต 2 (จตุจักร) กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ มี 2 เที่ยว คือเวลา 9.00 น. และ 20.00 น. ลงที่สถานีขนส่งช้างเผือก ต่อรถเอกชนสายเชียงใหม่-ฝาง หรือ เชียงใหม่-ท่าตอน ที่สถานี แล้วลงที่ปากทางขึ้นดอยอ่างขาง หน้าวัดหาดสำราญ กิโลเมตรที่ 137 ค่าโดยสาร 100 บาท ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง จากนั้นให้ว่าจ้างสองแถว รถตู้ หรือรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นดอยอ่างขางอีกทีหนึ่ง หรือเดินทางด้วยรถตู้ประจำทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังอ่างขาง ที่สถานีขนส่งช้างเผือกก็ได้ สายเชียงใหม่-ท่าตอน VIP 150 บาท ธรรมดา 130 บาท

2554-06-16

ตลาดน้ำอัมพวา ณ สมุทรสงคราม


ในอดีต อัมพวา ถือว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญของจังหวัดสมุทรสงคราม มีตลาดน้ำขนาด ใหญ่และชุมชนริมน้ำที่เป็นศูนย์กลางด้านพาณิชยกรรม แต่ผลกระทบของการพัฒนาการคมนาคมทางบก ทำให้ ความเป็นศูนย์กลางฯ ของอัมพวาต้องสูญเสียไป ตลาดน้ำค่อยๆลดความสำคัญและสูญหายไปในที่สุด ทิ้งไว้แต่ ร่องรอยของความเจริญในอดีตซึ่งยังคงปรากฏให้เห็นชัดเจนในทุกวันนี้ทางเทศบาลตำบลอัมพวาโดยความร่วมมือ ร่วมใจของประชาชนในท้องถิ่น ได้ฟื้นฟูตลาดน้ำอัมพวาขึ้นมาอีกครั้งเพื่ออนุรักษ์ความเป็นอยู่ของชุมชนริมน้ำ ซึ่งในปัจจุบันจะหาดูได้ยาก ให้สืบทอดตลอดไป โดยใช้ ชื่อว่า "ตลาดน้ำอัมพวายามเย็น"
อัมพวา
ตลาดน้ำอัมพวา จะมีทุกวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ตลาดน้ำโดย ทั่วไปมัก จะจัดขึ้นในเวลากลางวัน แต่ตลาดน้ำยามเย็น ที่อัมพวาแห่งนี้ จะจัดขึ้นในช่วงงเวลาเย็นเรื่อยไปจนถึงเวลาพลบค่ำ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ที่จัดในลักษณะเช่นนี้ ในตอนเย็นชาวบ้านจะเริ่มทยอย พายเรือนำสินค้าหลากหลายนานาชนิด อาทิ อาหาร ผลไม้ พืชผัก ขนม ของกินของใช้ มาขายให้กับนักท่องเที่ยว หรือคนในท้องถิ่นที่สัญจรไปมาที่ตลาดอัมพวา ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติของชีวิตของชุมชนริมน้ำ ซึ่งเป็นที่น่า ประทับใจอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถที่จะหาซื้ออาหารมานั่งรับประทาน บริเวณริมคลองอัมพวาติดกับตลาดน้ำ ซึ่งได้มีการจัด สถานที่ไว้ ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
1. ชิมอาหารพื้นบ้านทั้งคาวหวาน 
ใครที่มาเที่ยวตลาดน้ำ้อัมพวาแล้วไม่ได้มาชิม อาหารพื้นบ้านที่แม่ค้าและพ่อค้าพายเรือ มาขายให้เลือกซื้อเลือก ชิม กิน รวมถึงอาหารที่ขายอยู่ตามร้านอาหารบนฝั่งก็มีให้เลือกชิมเช่นกัน หากใครมาเที่ยวที่นี่ เมนูเด็กที่ไม่ควร พลาด คือ ปลาหมึกและกุ้ง ที่ย่างกันสดๆบนเตาพร้อมน้ำจิ้มรสแซ่บ ก๋วยเตี๋ยวเรือเลิศ รวมถึงขนมพื้นบ้านอย่าง ขนมไข่ที่มีวุ้น หลากสีสรรอยู่ข้างในน่ารับประทานยิ่งนัก ขนมหวานก็มีทองหยิบ ทองหยอด ขนมสอดไส้ เยอะแยะ มากมาย กินไป อยากหาเครื่องดื่มแก้กระหายน้ำก็มีกาแฟโบราณ น้ำผลไม้สมุนไพรต่างๆ ที่มีขายอยู่ทั่วไป ทั้งบน สองข้างทาง
อัมพวา อัมพวา
อัมพวา อัมพวา
อัมพวา อัมพวา
1. ชิมอาหารพื้นบ้านทั้งคาวหวาน 
ใครที่มาเที่ยวตลาดน้ำ้อัมพวาแล้วไม่ได้มาชิม อาหารพื้นบ้านที่แม่ค้าและพ่อค้าพายเรือมาขายให้เลือกซื้อเลือก ชิม กิน รวมถึงอาหารที่ขายอยู่ตามร้านอาหารบนฝั่งก็มีให้เลือกชิมเช่นกัน หากใครมาเที่ยวที่นี่ เมนูเด็กที่ไม่ควร พลาด คือ ปลาหมึกและกุ้ง ที่ย่างกันสดๆบนเตาพร้อมน้ำจิ้มรสแซ่บ ก๋วยเตี๋ยวเรือเลิศ รวมถึงขนมพื้นบ้านอย่าง ขนมไข่ที่มีวุ้น หลากสีสรรอยู่ข้างในน่ารับประทานยิ่งนัก ขนมหวานก็มีทองหยิบ ทองหยอด ขนมสอดไส้ เยอะแยะ มากมาย กินไป อยากหาเครื่องดื่มแก้กระหายน้ำก็มีกาแฟโบราณ น้ำผลไม้สมุนไพรต่างๆ ที่มีขายอยู่ทั่วไป ทั้งบน สอง ข้างทาง
อัมพวา อัมพวา
อัมพวา อัมพวา
อัมพวา อัมพวา
2. เดินเยี่ยมชมร้านค้าขายของที่ระลึกและวิถีชีวิตชาวบ้าน
ตลาดน้ำอัมพวาทั้งสองข้างทางไม่ว่าจะฝั่งริมน้ำมีของที่ระลึกให้เราได้เข้าไปเลือกซื้อเลือกหามาฝากคนที่บ้าน เริ่มตั้งแต่ ของที่ระลึกยอดฮิตของตลาดน้ำอัมพวาที่เดินไปทางใดก็เหน็อยู่ตลอดทาง คือ โปสการ์ด ซึ่งบอกเล่า เรื่องราวของเมือง อัมพวานี้ได้เป็นอย่างดี หรือใครอยากได้เสื้อเก๋ๆจากที่นี่ซักตัวก็ลองเลือกแบบเลือกลายดูได้ แบบเก๋ไม่ซ้ำใคร เดินชม ไปตลอด 2 ฝั่ง ก็ชมวิถีชีวิตบ้านเรือนไม้สมัยก่อนไปด้วยก็เพลินดีแท้
อัมพวา อัมพวา
อัมพวา อัมพวา
อัมพวา อัมพวา
3. ล่องเรือชมวิถีชีวิตริมน้ำ
ก่อนที่จะมาเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาในตอนเย็น นักท่องเที่ยวบางคนก็นิยมล่องเรือชมทิวทัศน์ของแม่น้ำแม่กลองเพื่อชม วิถีชิตและบ้านเรือนริมน้ำ ที่จะได้เห็นตลอดทางที่เรือแล่นไป หรืออาจจะแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างที่น่าสนใจ เช่นวัดบางแคน้อบ ค่ายบางกุ้ง โบสต์คริสต์ เป็นต้น
อัมพวา อัมพวา
อัมพวา อัมพวา
4. ล่องเรือชมหิ่งห้อย 
ถือเป็นไฮไลต์เด็ดของการมาท่องเที่ยวที่นี่เลยก็ว่าได้นักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะนั่งเรือชม ประกายความ งามยาม ค่ำคืนชมหิ่งห้อย หรือล่องเรือท่องเที่ยวตามลำน้ำแม่กลอง ก็สามารถติดต่อเรือได้
ติดต่อโทร.089-415-4523 ,ท่าเรือคุณย่า 081-557-0824
1.ทางรถยนต์ 
จากตัวจังหวัดใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 325 ทางเดียวกับไปอำเภอดำเนินสะดวกและอุทยาน ร.2 ประมาณ 6 กม ก่อนถึงสามแยกไฟแดง มีทางแยกทางซ้ายเข้า อ.อัมพวา ไปอีกประมาณ 800 เมตร. ทางแยกซ้ายมือ เข้าตลาดอัมพวา จอดรถบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภออัมพวา
2.รถประจำทาง
จากสถานีขนส่งสายใต้ รถสาย 996 กรุงเทพฯ-ดำเนินฯ เป็นรถปรับอากาศ ผ่านจังหวัดสมุทรสงคราม ถึง ตลาดอัมพวา สาย 976 กทม.-สมุทรสงคราม ถึงสถานีขนส่งสมุทรสงคราม ขึ้นรถประจำทางสาย 333 แม่กลอง-อัมพวา-บางนกแขวก ถึงตลาดอัมพวา
3.รถตู้
ขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยฝั่งถ.พหลโยธินใต้ทางด่วน ไปอัมพวาด้วยนะครับเป็นรถตู้สาย กทม-แม่กลอง  ค่ารถขาไป 70 บาท  ตั้งแต่ 6.25-20.00 น. ค่ารถขากลับ 60 บาท  ตั้งแต่  5.30-19.00  น. (รถจอดแถวตลาดแม่กลอง) ลงที่ตลาดแม่กลอง แล้วเดินมาแถวตลาดจะมีคิวรถสองแถวสายที่ไปโรงเจตรงตลาดน้ำอัมพวา ค่ารถ 10 บาท